กสิกรไทยรุกผู้นำบัตรเครดิต จับมือหอการค้าไทย ออกบัตรสมาชิกเครดิตร่วมหอการค้าไทย-กสิกรไทย บัตรแรกและบัตรเดียวที่ให้สิทธิประโยชน์ด้านธุรกิจและชีวิตส่วนตัว ด้วยเงินกู้ดอกเบี้ยพิเศษ ส่วนลดจากหอการค้าทั่วประเทศ และร่วมอบรมเพิ่มพลังความรู้ ตั้งเป้าออกบัตร 2 แสนใบภายใน 5 ปี
นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยได้ร่วมมือกับหอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศ ออกบัตรสมาชิกเครดิตร่วมหอการค้าไทย-กสิกรไทย ซึ่งจะเป็นบัตรเครดิตที่มีอัตลักษณ์พิเศษเหนือกว่าบัตรเครดิตทั่วไป โดยจะเป็นบัตรเครดิตบัตรแรกและบัตรเดียวที่รวมสิทธิประโยชน์เพื่อสมาชิกผู้ถือบัตรทั้งด้านธุรกิจ และการจับจ่ายส่วนบุคคลจากธนาคารกสิกรไทย และเครือข่ายสมาชิกหอการค้าทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรสมาชิกเครดิตร่วมหอการค้าไทย-กสิกรไทย จะได้รับส่วนลดและสิทธิประโยชน์ต่างๆ อาทิ ส่วนลด 10-20% สำหรับค่าอบรมสัมมนา ส่วนลดสำหรับการออกหนังสือรับรองเพื่อการส่งออก การเข้าร่วมสัมมนาออนไลน์ฟรีเพื่อต่อยอดธุรกิจและก้าวทัน AEC สามารถใช้บริการสินเชื่อต่าง ๆ ของธนาคารกสิกรไทยในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อที่ไม่ต้องแสดงหลักทรัพย์กสิกรไทย (K-Klean Credit) สินเชื่อเพื่อธุรกิจแฟรนไชส์กสิกรไทย (K-Franchise Credit) สินเชื่อรถช่วยได้กสิกรไทย และสินเชื่อบ้านกสิกรไทย
นอกจากนี้ ยังได้รับส่วนลดจากร้านค้าที่เป็นสมาชิกของหอการค้าทั่วประเทศ รวมทั้งได้รับสิทธิประโยชน์ที่เป็นส่วนลดและข้อเสนอพิเศษต่าง ๆ ที่ร่วมรายการกับบัตรเครดิตของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งมีมากกว่า 400 แคมเปญต่อปี สำหรับผู้ที่จะสมัครบัตรสมาชิกเครดิตร่วมหอการค้าไทย-กสิกรไทย ต้องเป็นกลุ่มพนักงานบริษัท ผู้บริหาร และเจ้าของกิจการที่เป็นสมาชิกหอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 700,000 คน ทั้งนี้ ธนาคารฯ ตั้งเป้าออกบัตรดังกล่าวประมาณ 2 แสนใบภายใน 5 ปี
นายปรีดี กล่าวเพิ่มเติมว่า หอการค้าไทย เป็นศูนย์รวมภาคธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มีเครือข่ายสมาชิกครอบคลุมทุกจังหวัด จึงเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ดังนั้นความร่วมมือกับหอการค้าไทยครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นการร่วมออกบัตรเครดิตเท่านั้น แต่จะเป็นความร่วมมือในการส่งเสริมพัฒนาสมาชิกหอการค้า และการให้สิทธิประโยชน์ที่จะเกื้อกูลการดำเนินธุรกิจของสมาชิกให้มีความแข็งแกร่ง ซึ่งแตกต่างจากการออกบัตรเครดิตอื่น ๆ ที่ผ่านมา และธนาคาร ฯ หวังว่าจะมีการพัฒนาสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสำหรับสมาชิกออกมากอย่างต่อเนื่อง
ด้านนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าวัตถุประสงค์หลักของการจัดทำบัตรสมาชิกเครดิตร่วมร่วมหอการค้าไทย-กสิกรไทยในครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะใช้เป็นบัตรแสดงตนในการเป็นสมาชิกของหอการค้า เป็นเอกลักษณ์ และเอกภาพเดียวกันของหอการค้าทั่วประเทศ รวมทั้งใช้เป็นบัตรส่วนลดในการซื้อสินค้าและบริการกับร้านค้าและหน่วยงานสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการ โดยจะเป็นบัตรที่ให้สิทธิพิเศษมากกว่าบัตรส่วนลดทั่วไป ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมเครือข่ายสิทธิประโยชน์ด้านการซื้อขายสินค้าและบริการระหว่างสมาชิกหอการค้าทั่วประเทศให้กว้างขวางมากขึ้น อีกทั้งเพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของเราในจังหวัดต่าง ๆ เพื่อให้ครอบคลุมเครือข่ายทั่วประเทศ
นอกจากสิทธิ์พิเศษที่ได้รับจากธนาคารกสิกรไทยแล้ว ในส่วนของหอการค้าไทย จะดำเนินการรณรงค์เชิญชวน ร้านค้า สถานบริการ ภายใต้ป้าย “ของดีจังหวัด” ซึ่งเป็นโครงการแนะนำร้านอาหารและของฝากชั้นดีของหอการค้าจังหวัดแต่ละจังหวัด หรือร้านอาหารอร่อยที่เป็นสมาชิกของหอการค้าจังหวัด ในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งสมาชิกของหอการค้าไทยในส่วนกลางให้เข้าร่วมโครงการ นอกจากนั้น ยังมอบส่วนลดและสิทธิประโยชน์พิเศษต่าง ๆ ของหอการค้าไทย เช่น ส่วนลด 10-20% สำหรับค่าอบรมสัมมนา ส่วนลดสำหรับการออกหนังสือรับรองเอกสารเพื่อการส่งออก เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่สมาชิกเครดิตร่วมหอการค้าไทย-กสิกรไทย ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายในส่วนภูมิภาค ร่วมกับโครงการไทยเที่ยวไทยอีกด้วย
ที่มา:http://www.kasikornbank.com/th/whathot/pages/KBank-TCC_CreditCard.aspx
- หน้าแรก
- ประวัติธนาคารกสิกรไทย (KBank)
- เกี่ยวกับ KBank
- โครงสร้างองค์กร
- ผลิตภัณฑ์
- นักลงทุนสัมพันธ์KBank
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- ข่าวธนาคารกสิกร
- ข่าวการลงทุน
- ข่าวความร่วมมือ
- ข่าวผลิตภัณฑ์และโปรโมชั่น
- ข่าวการจัดอบรมและสัมนา
- กรณีศึกษาโครงสร้างของการจัดองค์กร ธนาคารกสิกรไทย
- อัตราดอกเบี้ย(KBank), โครงสร้างของแหล่งที่มาและใช้ไป
- การตลาดKBank
- กิจกรรมศึกษาดูงาน
- คณะผู้จัดทำ
วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557
กสิกรไทยทุ่ม 100 ล้าน ลดดอกเบี้ยกู้ 3% ยืดหนี้ 6 เดือน ช่วยเอสเอ็มอีคลายทุกข์จากพิษเศรษฐกิจ
การเมืองยืดเยื้อส่งผลกระทบเอสเอ็มอีรายได้ลด ขาดสภาพคล่อง กสิกรไทยรุดช่วย ทุ่ม 100 ล้าน ลดดอกเบี้ย 3% นาน 3 เดือน พักชำระเงินต้นนาน 6 เดือน พร้อมเตรียมเงินปล่อยกู้สินเชื่อใหม่ให้เอสเอ็มอีที่เดือดร้อนอีก 75,000 ล้านบาท หวังช่วยลูกค้าเพิ่มสภาพคล่องและฟื้นตัวจากวิกฤตการเมืองและเศรษฐกิจ
นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า จากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปลายที่ปีแล้ว ได้ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างกว้างขวาง ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจติดลบ การลงทุนชะลอตัว ความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายของประชาชนลดลง ทำให้เอสเอ็มอีมีรายได้ลดลงกว่า 40% หลายรายมีความเสี่ยงที่จะขาดสภาพคล่อง เนื่องจากไม่มีกระแสเงินทุนหมุนเวียนที่เพียงพอ ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารได้ให้คำปรึกษาและพิจารณาช่วยเหลือแก่เอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบตามความจำเป็นของแต่ละราย
อย่างไรก็ตาม จากปัญหาที่ยืดเยื้อเป็นเวลานาน ทำให้เอสเอ็มอี 3 กลุ่ม คือ ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ได้รับผลกระทบที่ค่อนข้างรุนแรงเป็นวงกว้าง เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศลดลงเพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย การลงทุนของภาครัฐและเอกชนชะลอตัวลง อีกทั้งชาวนาได้รับเงินจากการขายข้าวล่าช้ากว่ากำหนด โดยธนาคารกสิกรไทยมีฐานลูกค้าเอสเอ็มอีใน 3 กลุ่มดังกล่าวประมาณ 19,000 ราย ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือทางการเงินเร่งด่วน เพราะเป็นกลุ่มที่มีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายเทียบกับภาระหนี้ที่มีกับธนาคารอยู่ในสัดส่วนที่สูง ประมาณ 15,000 ราย
ดังนั้นธนาคารกสิกรไทย จึงได้ออกมาตรการช่วยเหลือเป็นพิเศษแก่เอสเอ็มอีทั้ง 3 กลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนด้วยการลดดอกเบี้ยวงเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี (โอดี) ทุกรายทันที 3% เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ 1 มิถุนายน-31 สิงหาคมนี้ และพักชำระหนี้เงินต้นเป็นเวลา 6 เดือนให้กับลูกค้าในกลุ่มนี้ นอกจากนี้ธนาคารยังได้เตรียมวงเงินกู้อีก 75,000 ล้านบาทเพื่อปล่อยกู้ใหม่ให้เอสเอ็มอีอื่นที่ได้รับผลกระทบและต้องการเงินลงทุนหรือวงเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
มาตรการช่วยเหลือด้วยการลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง 3% และพักชำระหนี้เงินต้นนาน 6 เดือน จะทำให้ลูกค้าใน 3 กลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนมีเงินเพิ่มขึ้นต่อเดือนราว 55% จากภาระหนี้ของธนาคารที่ลดลง ซึ่งลูกค้าสามารถนำเงินจำนวนดังกล่าวไปหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจได้มากขึ้น
นายพัชร กล่าวทิ้งท้ายว่า มาตรการช่วยเหลือในครั้งนี้ ธนาคารเชื่อว่าจะช่วยเหลือเอสเอ็มอีได้โดยไม่กระทบกับกำไรของผู้ถือหุ้นเพราะธนาคารจะบริหารจัดการด้วยการลดค่าใช้จ่ายในด้านอื่นๆ ของธนาคารทดแทน
ที่มา : http://www.kasikornbank.com/TH/Pages/Default.aspx#
นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า จากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปลายที่ปีแล้ว ได้ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างกว้างขวาง ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจติดลบ การลงทุนชะลอตัว ความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายของประชาชนลดลง ทำให้เอสเอ็มอีมีรายได้ลดลงกว่า 40% หลายรายมีความเสี่ยงที่จะขาดสภาพคล่อง เนื่องจากไม่มีกระแสเงินทุนหมุนเวียนที่เพียงพอ ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารได้ให้คำปรึกษาและพิจารณาช่วยเหลือแก่เอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบตามความจำเป็นของแต่ละราย
อย่างไรก็ตาม จากปัญหาที่ยืดเยื้อเป็นเวลานาน ทำให้เอสเอ็มอี 3 กลุ่ม คือ ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ได้รับผลกระทบที่ค่อนข้างรุนแรงเป็นวงกว้าง เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศลดลงเพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย การลงทุนของภาครัฐและเอกชนชะลอตัวลง อีกทั้งชาวนาได้รับเงินจากการขายข้าวล่าช้ากว่ากำหนด โดยธนาคารกสิกรไทยมีฐานลูกค้าเอสเอ็มอีใน 3 กลุ่มดังกล่าวประมาณ 19,000 ราย ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือทางการเงินเร่งด่วน เพราะเป็นกลุ่มที่มีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายเทียบกับภาระหนี้ที่มีกับธนาคารอยู่ในสัดส่วนที่สูง ประมาณ 15,000 ราย
ดังนั้นธนาคารกสิกรไทย จึงได้ออกมาตรการช่วยเหลือเป็นพิเศษแก่เอสเอ็มอีทั้ง 3 กลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนด้วยการลดดอกเบี้ยวงเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี (โอดี) ทุกรายทันที 3% เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ 1 มิถุนายน-31 สิงหาคมนี้ และพักชำระหนี้เงินต้นเป็นเวลา 6 เดือนให้กับลูกค้าในกลุ่มนี้ นอกจากนี้ธนาคารยังได้เตรียมวงเงินกู้อีก 75,000 ล้านบาทเพื่อปล่อยกู้ใหม่ให้เอสเอ็มอีอื่นที่ได้รับผลกระทบและต้องการเงินลงทุนหรือวงเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
มาตรการช่วยเหลือด้วยการลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง 3% และพักชำระหนี้เงินต้นนาน 6 เดือน จะทำให้ลูกค้าใน 3 กลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนมีเงินเพิ่มขึ้นต่อเดือนราว 55% จากภาระหนี้ของธนาคารที่ลดลง ซึ่งลูกค้าสามารถนำเงินจำนวนดังกล่าวไปหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจได้มากขึ้น
นายพัชร กล่าวทิ้งท้ายว่า มาตรการช่วยเหลือในครั้งนี้ ธนาคารเชื่อว่าจะช่วยเหลือเอสเอ็มอีได้โดยไม่กระทบกับกำไรของผู้ถือหุ้นเพราะธนาคารจะบริหารจัดการด้วยการลดค่าใช้จ่ายในด้านอื่นๆ ของธนาคารทดแทน
ที่มา : http://www.kasikornbank.com/TH/Pages/Default.aspx#
โบรกเกอร์ระบุช่วงบ่ายดัชนีทรงตัวไร้ปัจจัยใหม่กระตุ้น
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ระบุความเคลื่อนไหวช่วงบ่ายน่าจะทรงตัวต่อจากช่วงเช้า เนื่องจากไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากดดันดัชนี โดยหากดัชนีไม่สามารถผ่านแนวต้านที่ 1,410 จุดได้ ดัชนีมีแนวโน้มถอยลงมาปิดที่ระดับต่ำกว่า 1,409.00 จุด เพราะยังคงมีแรงขายหุ้นใหญ่ในกลุ่ม ICT ขณะที่กลุ่ม Bank Contractors และ Construction Materials ยังคงปรับขึ้นต่อ เนื่องจากป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากแผนพิจารณาการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของ คสช.
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ประเมินแนวโน้มดัชนีบ่ายมีแนวโน้มทรงตัวจากช่วงเช้า แม้ว่าจะยังคงได้รับผลดีจากการเมืองในประเทศ และการตั้งรัฐบาลใหม่ อย่างไรก็ตาม การปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของดัชนีส่งผลให้ตลาดอาจมีแรงขายทำกำไรเข้ามา ทั้งนี้ ยังคงระวังการปรับถอยในวันพรุ่งนี้ จากปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศ (GDP ไตรมาส 1/57 สหรัฐฯ ที่อาจติดลบ และเงินทุนต่างชาติที่ชะลอการไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะตลาด TIP ในระยะสั้น) อย่างไรก็ตาม ดัชนีจะปรับตัวดีกว่าคาดได้ (ขึ้นไปเหนือ 1,420 จุด) ต่อเมื่อนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่อง ดังนั้น ระยะสั้นตลาดยังมีโอกาสเผชิญการแกว่งผันผวนได้ จึงควรระมัดระวังการเก็งกำไรหุ้นเล็กที่ไม่มีพื้นฐาน หรือปรับขึ้นแรงเกินพื้นฐาน โดยอาจหมุนมายังหุ้นขนาดกลาง-ใหญ่พื้นฐานดีที่มีโอกาส Outperform ตลาดในช่วงถัดไป
คำแนะนำ เลือกหุ้นรายตัว สำหรับผู้รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำ เก็งกำไรด้วยวงเงินจำกัด ในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายเร่งด่วนของ คสช.
ทั้งนี้ เมื่อเวลา 15.18 น. ดัชนีอยู่ที่ 1,409.60 จุด เพิ่มขึ้น 6.81 จุด เปลี่ยนแปลง +0.49% มูลค่าการซื้อขาย 26,384.92 ล้านบาท
ที่มา : โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์.29 พฤษภาคม 2557 15:17 น.
http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000060103
ขายหุ้นกู้เอสพีซีจี ดอกเบี้ย 5.55%
นางสาววันดี กุญชรยาคง (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) (SPCG) ผู้นำโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ พร้อมด้วยผู้บริหารจากธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารธนชาต และบริษัทหลักทรัพย์ เอเชียพลัส จำกัด ร่วมลงนามแต่งตั้งผู้จัดการการจัดจำหน่ายและผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้นกู้ของบริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2557 เป็นหุ้นกู้แบบมีผู้ค้ำประกัน และทยอยชำระคืนเงินต้น อายุหุ้นกู้ 5 ปี 1 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.55% ต่อปี หุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือโดยทริสเรทติ้งที่ระดับBBB มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท เปิดจองซื้อวันนี้ถึง 29 พฤษภาคมนี้ ทั้งนี้ หุ้นกู้ SPCG ชุดนี้ ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนที่สอบถามข้อมูลผ่านกลุ่มผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ดังกล่าว
รายนามบุคคลในภาพ จากซ้ายไปขวา:
1.นายภานพ อังศุสิงห์ ผู้บริหารสายงานวาณิชธนกิจ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
2.นายเอกชัย เตชะวิริยะกุล ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส รักษาการผู้บริหารกลุ่ม กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ 8 ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
3.นางสาววันดี กุญชรยาคง ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน)
4.นายกนต์ธีร์ ประเสริฐวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)
5.นายพูนลาภ ฉันทวงศ์วิริยะ ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน)
6.นางยอดฤดี สันตติกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน)
ที่มา : ข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑๔:๑๖น.
http://www.newswit.com/fin/2014-05-29/6cc75652df45ece49cfd2e2ec73d1b7c/
กสิกรไทย สนับสนุนสินเชื่อผู้เช่าร้านในเอเชียทีค
กสิกรไทยจับมือเอเชียทีค ออกสินเชื่อพิเศษหลากหลายหนุนเงินหมุนเวียนให้ผู้เช่าร้านค้าในเอเชียทีคเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นการบริโภค ด้วยเล็งเห็นศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของกรุงเทพฯ ตั้งเป้ามีผู้เช่าร้านค้าในเอเชียทีคเข้าร่วมโครงการ จำนวน 300 ราย วงเงินสินเชื่อ 100 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้
นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (ที่ 2 จากขวา) นายโสมพัฒน์ ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ที่ 2 จากซ้าย) และนางวัลลภา ไตรโสรัส กรรมการผู้จัดการใหญ่ (กลาง) กลุ่มบริษัท ทีซีซี แลนด์ ผู้บริหารโครงการ “เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์”
นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยร่วมกับเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ออกโครงการสนับสนุนทางการเงินเพื่อผู้เช่าร้านค้าในโครงการเอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจและเป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งประกอบด้วย สินเชื่อเพื่อธุรกิจเริ่มต้น บริการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ สินเชื่อไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน สำหรับเอสเอ็มอีที่มีข้อจำกัดในการหาหลักทรัพย์มาค้ำประกันสินเชื่อ แต่ต้องการเงินทุนในการประกอบธุรกิจ ขยายกิจการ หรือเพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ
สินเชื่อ SME กู้ง่ายหมดกังวลเรื่องเดินบัญชี บริการสำหรับผู้ประกอบการที่ไม่มีหลักฐานการเดินบัญชี หรือมีการเดินบัญชีแต่ไม่มีความสม่ำเสมอ โดยธนาคารจะพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าจากเอกสารประเภทใบเสร็จรับเงิน ใบสั่งซื้อสินค้า ใบเสร็จค่าน้ำค่าไฟฟ้า ซึ่งผู้ขอสินเชื่อในโครงการนี้จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 1 เดือน
นอกจากบริการสินเชื่อดังกล่าวข้างต้น ธนาคารยังมีบริการทางการเงินที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการรับจ่ายเงินของผู้เช่าร้านค้า เพื่อให้ผู้เช่าร้านค้ามีเวลาในการบริหารร้านได้อย่างเต็มที่ ได้แก่ บริการชำระเงินผ่านการหักบัญชีอัตโนมัติกสิกรไทย เพื่อหักชำระค่าเช่าและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ กับเอเชียทีค ฟรีค่าธรรมเนียม 3 เดือน บริการร้านค้ารับบัตรเครดิตผ่าน K-PowerP@y (mPOS) ใช้ได้กับสมาร์ทโฟน/แท๊ปเล็ต ทั้งระบบ iOS และ Android ซึ่งจะทำให้การรับชำระเงินจากลูกค้าสะดวกได้ทุกที่ทุกเวลา และมั่นใจด้วย SMS หรือ email ที่ยืนยันทุกการใช้จ่าย พร้อมโปรโมชั่นจากบัตรเครดิตกสิกรไทย เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าในเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ด้วยการออกโปรโมชั่นพิเศษ "อิ่มอร่อย 2 ต่อ รับโชคมากกว่า" ให้กับเอเชียทีคโดยเฉพาะ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้สนใจเข้ามาใช้บริการภายในโครงการมากขึ้น
นายพัชร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันการทำธุรกิจ Shopping &Travel Destination ได้รับความนิยมอย่างมาก เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของสถานที่ที่อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีการออกแบบให้มีบรรยากาศย้อนยุคแบบโคโรเนียล มีกระบวนการคัดเลือกร้านค้าเพื่อเข้ามาเปิดในโครงการ จึงทำให้กลายเป็นแหล่งรวมร้านค้าที่มีศักยภาพ เพราะความหลากหลายและความน่าสนใจของสินค้ามีความสำคัญต่อการท่องเที่ยว ของผู้บริโภค ความร่วมมือในครั้งนี้นอกจากช่วยเรื่องสภาพคล่องแล้ว อีกส่วนหนึ่งคือ ต้องการให้ผู้เช่าให้ความสำคัญเรื่องการเดินบัญชี ซึ่งจะส่งผลดีเมื่อผู้เช่าร้านค้าต้องการขยายกิจการก็จะสามารถขอสินเชื่อในระบบได้ง่ายขึ้น โครงการนี้ ธนาคารตั้งเป้ามีผู้เช่าร้านค้าในโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เข้าร่วมโครงการ จำนวน 300 ราย วงเงินสินเชื่อ 100 ล้านบาทภายในสิ้นปี
ที่มา http://www.kasikornbank.com
วันที่ วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม 2557
กสิกรไทยส่งนวัตกรรมใหม่ บัตรเครดิตเพย์เวฟสติ๊กเกอร์ใบแรกของไทย จ่ายง่ายแค่แตะไม่ต้องเซ็น ตั้งเป้าออก 2 แสนใบ ภายใน 57
กสิกรไทยผุดนวัตกรรมใหม่ บัตรเครดิตเพย์เวฟสติ๊กเกอร์ พกง่ายจ่ายไว แค่แตะไม่ต้องเซ็นชื่อ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ พร้อมรองรับการขยายตัวของ Micro Payment ตั้งเป้ายอดผู้ใช้งาน 2 แสนบัตร พร้อมขยายสู่กลุ่มคมนาคมให้รองรับการใช้งาน ทางด่วน บีทีเอส รถไฟใต้ดิน ภายในปี 58
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มการชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการชำระเงินที่มียอดชำระต่อครั้งที่ต่ำ หรือ Micro Payment ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมความสะดวก รวดเร็ว และความต้องการถือเงินสดลดลง ธนาคารกสิกรไทยผู้นำด้านดิจิตอลแบงกิ้ง และครองอันดันดับ 1 ในธุรกิจบัตรเครดิตกลุ่ม VISA payWave ด้วยยอดผู้ถือบัตรมากที่สุดในตลาด จึงเตรียมเปิดตัว บัตรเครดิต NFC Sticker กสิกรไทย (K-Wave NFC Sticker Credit Card) พัฒนาต่อยอดบัตรเครดิตประเภท K-Wave ที่ใช้เทคโนโลยี NFC (Near Field Communication) ในรูปแบบสติ๊กเกอร์เป็นบัตรแรกในไทย สามารถติดบนโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อื่นๆ จึงพกพาสะดวกพร้อมใช้งาน ช่วยลดการถือเงินสด ชำระเงินง่ายโดยการแตะหน้าบัตรบนเครื่องชำระเงิน โดยไม่ต้องเซ็นชื่อกำกับ ณ ร้านค้าที่มีสัญลักษณ์ VISA payWave ทั่วโลก
นอกจากนี้ ในด้านความปลอดภัย ผู้ถือบัตรเครดิต NFC Sticker กสิกรไทย (K-Wave NFC Sticker Credit Card) สามารถกำหนดวงเงินของบัตรได้เองตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป และใช้จ่ายผ่านบัตรโดยไม่ต้องมีลายเซ็นได้สูงสุด 1,500 บาทต่อรายการ สำหรับการชำระเงิน ต้องแตะบัตรกับเครื่องอ่านบัตรในระยะห่างไม่เกิน 10 ซม. ดังนั้น โอกาสที่จะเกิดการชำระเงินผ่านบัตรโดยไม่ได้ตั้งใจมีน้อยมาก และบัตรนี้ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยจาก VISA โดยมี Chip มาตรฐาน EMV อยู่ภายในเพื่อป้องกันการคัดลอกข้อมูล ทั้งนี้ ผู้สมัครบัตรเครดิต NFC Sticker กสิกรไทย จะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปีสำหรับปีแรก รวมทั้งสามารถสะสมคะแนนจากการใช้จ่ายเช่นเดียวกับบัตรเครดิตทั่วไปอีกด้วย
ธนาคารกสิกรไทย ตั้งเป้าหมายการออกบัตรเครดิต NFC Sticker กสิกรไทย (K-Wave NFC Sticker Credit Card) และ K-Wave Credit Card จำนวน 200,000 บัตร โดยมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรทั้งสิ้น 2,700 ล้านบาท ในปี 2557 พร้อมตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนร้านค้ารับบัตรกลุ่ม K-Wave จากปัจจุบันในตลาดที่มีกว่า 5,000 เครื่อง โดยเป็นของธนาคารกสิกรไทยจำนวน 3,500 เครื่องภายในสิ้นเดือนมิถุนายน 2557 และคาดว่าในตลาดจะเพิ่มเป็นเป็น 10,000 ร้านค้าทั่วประเทศภายในปี 2557 โดยเน้นธุรกิจที่มีการชำระเงินรายย่อยสูง และธนาคารกสิกรไทย กำลังดำเนินการพัฒนาต่อยอดการใช้งานบัตรเครดิต NFC Sticker กสิกรไทย (K-Wave NFC Sticker Credit Card) ให้สามารถใช้ชำระเงินในกลุ่มคมนาคมขนส่งต่าง ๆ อาทิ ค่าทางด่วน, รถไฟฟฟ้า BTS และรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2558
นายชาติชาย กล่าวว่า การพัฒนาบัตรเครดิต NFC Sticker กสิกรไทย (K-Wave NFC Sticker Credit Card) สะท้อนความเป็นผู้นำด้านดิจิตอลแบงกิ้งของธนาคารกสิกรไทย ในการนำนวัตกรรมบริการใหม่มารองรับการขยายตัวของการชำระเงินรายย่อยที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งนอกจากผู้ใช้บัตรจะได้รับความสะดวกด้วยขั้นตอนชำระเงินที่รวดเร็วขึ้น และช่วยให้ร้านค้ามีขั้นตอนการรับชำระค่าสินค้าที่กระชับขึ้น โดยเฉพาะร้านจำหน่ายสินค้าและบริการที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว จำนวนเงินธุรกรรมไม่สูงมาก เช่น ร้านอาหาร เครื่องดื่ม มินิมาร์ท โรงภาพยนตร์ นอกจากนี้ บริการดังกล่าวยังสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐที่ต้องการลดการใช้เงินสดลง เพื่อช่วยลดภาระในการผลิตธนบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทย และลดความเสี่ยงให้แก่ประชาชนในการทำเงินสดสูญหายหรืออันตรายจากมิจฉาชีพ
ปัจจุบันในประเทศไทยมีบัตรเครดิต ที่ใช้เทคโนโลยี NFC (Near Field Communication) ในตลาด ทั้งบัตรที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์และบริษัทต่าง ๆ จำนวนรวมประมาณ 100,000 บัตร สำหรับธนาคารกสิกรไทย ปัจจุบันมีบัตร K-Wave Credit Card ทั้งสิ้น 80,000 บัตร โดยคาดว่า ณ สิ้นปีในตลาดจะมีบัตรเครดิตที่ใช้เทคโนโลยี NFC ประมาณ 300,000 บัตร
ด้านภาพรวมตลาดสินเชื่อบัตรเครดิต พบว่า NPL ของทั้งตลาด ณ สิ้นสุดไตรมาส 1 ปี 2557 อยู่ที่ 2.72% ขณะที่ NPL สินเชื่อบัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย ในช่วงเวลาเดียวกัน อยู่ที่ 1.72% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าตลาด ทั้งนี้ เป้าหมายสิ้นปี 2557 ของธนาคารฯ จะขยายฐานบัตรเครดิตใหม่จำนวน 715,000 บัตร และมีฐานลูกค้าบัตรเครดิตรวม 3.6 ล้านบัตร เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2556 ราว 16% มียอดใช้จ่ายทั้งหมดผ่านบัตร อยู่ที่ 3.44 แสนล้านบาท ขยายตัว ราว 31% รวมทั้งประมาณการยอดสินเชื่อคงค้างหลังปรับฐาน สิ้นปี 2557 จะอยู่ที่กว่า 72,000 ล้านบาท ขยายตัวในช่วง 11-12%
ที่มา http://www.newswit.com
วันที่ วันพุธ ที่ 4 มิถุนายน 2557
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)