วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

บลจ.กสิกรไทย เสนอขาย 3 กองทุนตราสารหนี้ใหม่ ผลตอบแทนสูงสุด 3.00%

          นางสาวยุพาวดี ตู้จินดา  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ในวันที่ 15-19 พฤษภาคม 2557 นี้ บลจ.กสิกรไทย   จะเสนอขายกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน บีไอ (KFF6MBI) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.80% ต่อปี กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ 3 เดือน ซี (KEFI3MC) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.75% ต่อปี และกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน วี (KEFF6MV) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.00% ต่อปี โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน และสำหรับผู้ลงทุนบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี
          “สำหรับมุมมองเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ยังคงมีปัจจัยการเมืองเป็นตัวแปรสำคัญที่จะส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งดูเหมือนว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะเริ่มร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง หลังจากศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยตัดสินให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ที่ร่วมประชุม และลงมติในการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนสี จากตำแหน่งเลขาธิการ สมช. เมื่อปี 2554 โดยมีความผิดตามกฎหมายรัฐธรรมนูญและให้พ้นสภาพจากตำแหน่ง นอกจากนี้ในวันถัดมาทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) ได้ตัดสินกรณีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวว่านายกรัฐมนตรีมีความผิดจริง และได้ส่งเรื่องไปยังวุฒิสภาเพื่อถอดถอนต่อไป ส่งผลให้สถานการณ์ทางการเมืองเกิดความตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่าจะดำเนินต่อไปในทิศทางใด และอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาให้ความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะยังคงสามารถขยายตัวเป็นบวกได้ และยังไม่ถึงขั้นถดถอย แต่การเติบโตอาจจะชะลอตัวลงจากปีที่ผ่านมา ด้านสถานการณ์ตลาดตราสารหนี้ไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะพันธบัตรระยะยาว โดยพันธบัตรอายุ 5 ปีปรับตัวลดลงจาก 3.08 % มาอยู่ที่ 2.99% ขณะที่พันธบัตรอายุ 10 ปีปรับตัวลดลงจาก 3.70% มาอยู่ที่ 3.59% เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่มีมากขึ้น ทำให้นักลงทุนหันเข้ามาถือพันธบัตรในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้นและกดดัน อัตราผลตอบแทนลงมา” นางสาวยุพาวดีกล่าว
             นางสาวยุพาวดีกล่าวต่อไปว่า สำหรับตราสารหนี้ที่กองทุน KEFI3MC จะเข้าไปลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วยเงินฝาก PT Bank Danamon Indonesia Tbk เงินฝาก PT Bank Permata Tbk, ประเทศอินโดนีเชีย และตราสารหนี้ VakifBank, ประเทศตุรกี นอกจากนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) และบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ด้านกองทุน KEFF6MV จะลงทุนในเงินฝากของ PT Bank Permata Tbk, ประเทศอินโดนีเชีย เงินฝาก Garanti Bank, ประเทศตุรกี รวมด้วยตราสารหนี้ VakifBank, ประเทศตุรกี ตราสารหนี้ ICBC Ltd. และตราสารหนี้ Bank of East Asia Ltd. โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถ ยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท
            อย่างไรก็ตามสำหรับนักลงทุนทั่วไปที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าการลงทุนกับตราสารหนี้ภายในประเทศ บลจ.กสิกรไทย ขอแนะนำกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน บีไอ (KFF6MBI) โดยกองทุนดังกล่าว เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Bank of China ตราสารหนี้ Bank of East Asia ตราสารหนี้ Agricultural Bank of China และตราสารหนี้ ICBC Ltd. โดยตราสารที่กล่าวมามีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ทั้งนี้ สำหรับกองทุน KFF6MBI ผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท
           ผู้ที่สนใจลงทุนกับกองทุน KFF6MBI, กองทุน KEFI3MC, และกองทุน KEFF6MV สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ธนาคาร กสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888 หรือที่ www.kasikornasset.com


ที่มา : http://www.thannews.th.com
วันพุธที่ 14 พฤษภาคม 2014 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น